02 December 2015

[News] บันทึกการเดินทางไป GDE Summit และ Android Dev Summit 2015

Updated on


        เนื่องจากปลายปีนี้เจ้าของบล็อกได้มีโอกาสไป GDE Summit เป็นงานสัมมนาประจำปี ซึ่ง GDE ทั่วๆโลกจะมางานนี้ที่ San Francisco ที่ Google นั่นเอง และต่อจากงานนี้ก็ยังมีงาน Android Dev Summit เช่นกัน เพื่อไม่ให้เสียโอกาส ก็ขอเขียนบันทึกเก็บไว้ละกันเนอะ 


        เดิมทีนั้นเจ้าของบล็อกได้เชิญไปงาน GDE Summit (งานมี 2 วัน) ซึ่งทาง Google ก็จะออกค่าใช้จ่ายให้เป็นค่าตั๋วเครื่องบินและที่พักใน 2 วัน แต่ทีนี้มันดันมีงาน Android Dev Summit ต่ออีก เจ้าของบล็อกก็เลยขอบินกลับช้าหน่อยดีกว่า ขออยู่ต่ออีกหน่อยจะได้มาไม่เสียเที่ยว (สามารถเปลี่ยนวันเดินทางให้ทาง Google เค้าจัดการเรื่องตั๋วบินได้ แต่ค่าใช้จ่ายก็ต้องออกเอง)


        และโชคดีที่ปีนี้ได้มีโอกาสไปงาน Google I/O มาก่อน คราวนี้ก็เลยเดินทางมาสะดวก และก็ไม่ต้องทำอะไรกับ VISA 

ออกเดินทางจาก BKK ไป DXB

        เที่ยวบินที่ Google จองให้คือ Emirates Airline ซึ่งต้องนั่งเครื่องบินอ้อมโลกมาเปลี่ยนเครื่องที่ดูไบก่อน ออกเดินทางตอนตีสองของประเทศไทย มาถึงที่ดูไบตอนตีห้าตามเวลาท้องถิ่น 

        บนเครื่องมีปลั๊กให้เสียบแต่เป็น 100V/60Hz ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะอะแดปเตอร์มือถือหรือคอมพิวเตอร์สมัยนี้รองรับไฟทั้งสองย่านหมดแล้ว


        และเนื่องจากเป็นเที่ยวบินระหว่างดูไบกับไทย บนเครื่องจึงมีการพูดเป็นภาษาไทยด้วย 

        การเดินทางใช้เวลาราวๆ 6 ชั่วโมง ซึ่งเป็นเวลานอนพอดี เมื่อมาถึงสนามบินที่ดูไบแล้วต้องนั่งรถจากจุดลงจอดมายัง Terminal อีกที (ไกลมาก) และข้างในก็กว้างมาก ต้องนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินเพื่อไปเกทที่จะไป (เหมือนกับที่เกาหลีเลย)



เดินทางต่อจาก DXB ไป SFO

        หล้งจากที่นั่งพักอยู่ที่สนามบินดูไบอยู่พักใหญ่ๆ ก็ออกบินต่อราวๆเก้าโมงเพื่อไป SFO ซึ่งคราวนี้จะใช้เวลาราวๆ 21 ชั่วโมง (ข้ามวันกันเลยทีเดียว) ซึ่งรอบนี้สะดวกหน่อยเพราะเครื่องบินมีให้ทั้งรู USB และปลั๊กไฟธรรมดา รวมไปถึงมี WiFi ให้เล่นด้วย!!! เพียงแค่ $1 เล่นได้ 500MB 


        คุ้มนะ แต่เน่ามากกกกก ทำได้แค่นั่งแชทใน Facebook เท่านั้น ถ้าเปิดอย่างอื่นก็ต้องรีเฟรชรอเรื่อยๆจนกว่าจะติด (อนาจจิตจัง)


ถึงแล้ว San Francisco 

        หลังจากที่นั่งเน่าเป็นผักอยู่บนเครื่องเกือบวัน ก็ได้มาสัมผัส SF แล้ว ถึงแม้ว่าช่วงนี้จะเป็นหน้าหนาวก็ตาม แต่ที่นี่ก็หนาวกว่าหน้าร้อนไม่มากนัก แต่เนื่องจากงาน GDE Summit คือวันพรุ่งนี้ ดังนั้นกลับมาก็เอากระเป๋าฝากไว้กับพี่แบรด AdsOptimal ก่อน (เพราะหลังจากงาน GDE Summit มาพักที่นี่) จากนั้นประจวบเหมาะที่พี่เนย NuuNeoI กลับมาจากเยี่ยมชมออฟฟิศ Facebook และจะไปออฟฟิศ Twitter ต่อพอดีจึงติดสอยห้อยตามไปด้วย


        ออฟฟิศของ Twitter นั้นจะอยู่ในตัวเมือง SF ต่างจาก Facebook, Google, Apple หรือ Instragram อยู่แถวๆ Mountain View บริเวณตอนล่างของ SF




        หลังจากเสร็จจาก Twitter ก็เดินทางไปที่สนามบินอีกครั้ง เพราะมีรถรับส่งจากทาง Google เพื่อพาไปที่โรงแรมเป็นโรงแรม Double Tree ที่ San Jose ซึ่งอยู่ใกล้กับสถานที่งาน GDE Summit ที่จะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ สำหรับห้องพักก็จะต้องนอนกับ GDE คนอื่นหน่ึงคน (เพราะห้องเป็นแบบสองเตียง) ซึ่งเราสามารถเลือกได้ว่าจะนอนกับใคร ซึ่งเจ้าของบล็อกก็นอนกับพี่เนยนั่นเอง (เตียงแยกครับ โปรดอย่าจิ้น)


วันแรกของ GDE Summit

        ด้วยความสามารถในการปลุกของพี่เนยจึงทำให้เจ้าของบล็อกตื่นเช้าได้ แล้วก็ลงมากินอาหารเช้าที่โรงแรม


        จากนั้นก็เดินทางไปที่จัดงานและรับของสำหรับ GDE ซึ่งมีหนังสือ The Success to App Success on Google Play (ปรับปรุงใหม่) GDE Badge และ Power Bank



        ส่วนงานเริ่มตอนเก้าโมงเช้า โดยจัดขึ้นที่ Google Wellness Center อยู่ห่างไกลออกไปจาก Googleplex พอสมควร


        ก็จะมีการพูดถึงข้อมูลเกี่ยวกับ GDE จนถึงเที่ยง และมีการถ่ายรูปรวม GDE ที่ค่อนข้างลงทุน เพราะเอามีการใช้เครื่องยกตัวตากล้องเพื่อถ่ายจากมุมสูงเลยล่ะ


        พอถีงตอนบ่ายจะมีการแยก Session ออกเป็นหลายๆ Session โดยจะแยกจัดแยกกลุ่มไปตาม GDE แต่ละคน (แต่ก็สามารถย้ายไป Session อื่นๆที่สนใจได้)


        สำหรับเนื้อหาในงาน GDE Summit นี้ ขอข้ามไปนะครับ เพราะว่าทาง Google บอกมาว่าห้ามเผยแพร่

        พอตกเย็นก็เป็นมื้อเย็นและเป็นช่วง Networking ที่จะให้ GDE ได้พูดคุยรู้จักกัน จากนั้นก็กลับที่พักนอนหลับฝันดี เพราะได้กินเบียร์ที่นี่สมใจอยาก




วันที่สองของ GDE Summit

        วันที่สองเป็นการแยก Session เหมือนเดิมครับ แต่ว่าจะเป็น Session ที่ต่างออกไปจากวันแรก ซึ่งก็ไม่ขอพูดถึงเนื้อหาในแต่ละ Session ซึ่งวันนี้จะมี 2 Session ด้วยกัน


        พอถึงช่วงใกล้เลิกงานจะเป็นกิจกรรมกลุ่ม ซึ่งทีมงานเค้าจะจัดกลุ่มไว้แล้วตามประเภทของ GDE เพื่อให้แต่ละกลุ่มมีคละเคล้ากันไป อย่างเช่นกลุ่มของเจ้าของบล็อกก็จะมี Chrome, Android, Google Cloud Platform, UX/UI และ Marketing ซึ่งเป้าหมายของกิจกรรมนี้ก็คือให้คิด Product ขึ้นมาหนึ่งตัวและ Pitching ให้ทีมงานให้คะแนน โดยแต่ละทีมจะสุ่มหัวข้อที่ต่างกันออกไป โดยมีเวลาแค่ 1 ชั่วโมง และต้องใช้ Google Cloud Platform ด้วย ส่วน Pitching มีเวลาแค่ 2 นาที


        ซึ่งเอาเข้าจริงถือว่ายากเหมือนกันนะ เพราะไม่รู้ว่า​ Scope ของ Product ว่าต้องซีเรียสจริงจังมั้ย? ต้องเป็นไอเดียใหม่มั้ย? และเวลาที่มีแค่เพียง 1 ชั่วโมง ซึ่งแค่นั่งคุยกันเพื่อคิดว่าจะทำอะไรดีก็ใช้เวลามากพอสมควรแล้ว ถ้าบริหารเวลาในทีมกันไม่ดี


        กลุ่มของเจ้าของบล็อกได้หัวข้อเป็น "Keys" ก็ตัดสินใจทำ Product ที่คล้ายๆกับ Smart Door Lock โดยมี Prototype แบบฮาๆให้ดูด้วย ซึ่งก็มีกลุ่มที่คิด Product ทั้งแบบซีเรียส และแบบเน้นฮา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอน Pitching ที่เรียกว่าแทบจะเป็นช่วงทำคะแนนเป็นหลักเลยก็ว่าได้ บ้างก็ทำ Slide มาด้วย บ้างก็มี Demo ให้ดู และทีมที่ทำ Prototype ฮาๆก็มี (อย่างทีมเจ้าของบล็อก)


        และทีมที่ได้คะแนนสูงสุดในแต่หัวข้อก็จะได้ Chromecast ตัวใหม่กันไปคนละตัวตามจำนวนคนในทีม และทีมเจ้าของบล็อกก็ได้คะแนนสูงสุดในหัวข้อ Keys ก็เลยได้ Chromecast ติดมือกลับมาด้วย (ต้องขอบคุณคนในทีม)



        หลังจากจบกิจกรรมนี้ก็คือจบงาน GDE Summit ครับ 


เสาร์-อาทิตย์ ช่วงเวลาเที่ยวรองาน Android Dev Summit

        เนื่องจากงาน Android Dev Summit นั้นจัดในวันที่ 23-24 ซึ่งก็คือวันจันทร์และอังคาร ดังนั้นจึงมีเวลาว่าง 2 วันสำหรับการเที่ยวใน San Francisco ซึ่งก็ไปเที่ยว Landmark หลักๆ แวะ Best Buy กับ Apple Store ซื้อของที่เพื่อนฝากซื้อ



        และแวะไปที่ Make:Store เป็นร้านค้าของ Maker ที่ทางนิตยสาร Make เปิดขึ้นที่นี่พอดี (เปิดวันแรกก็วันเสาร์นั้นเป๊ะๆ) ซึ่งร้านที่ว่าเปิดแค่ 3 เดือนเท่านั้น


        และได้ไปเที่ยว Golden Gate Park ซึ่งเป็นสวนสาธารณะที่มีขนาดใหญ่มาก มากซะจนไม่น่าเชื่อว่านี้คือสวนสาธารณะ และข้างในก็มีอุทยาน พิพิธภัณฑ์ อยู่ข้างในนั้นอีกที ซึ่งที่น่าสนใจสุดก็คงจะเป็น California Academy of Sciences ซึ่งไม่ได้เข้าไปหรอก เพราะว่าเจอค่าตั๋วเกือบ $25 แต่ก็เห็นคนเข้าไปกันเยอะมาก จึงพอเดาได้ว่าข้างในต้องดีจริงๆแน่ๆ (แต่จ่ายค่าตั๋วไม่ไหวอะ)

        การท่องเที่ยวส่วนใหญ่สามารถเดินได้ทั้งหมด โดยต้องนั่ง BART เข้าเมืองก่อน แล้วนั่งรถบัสไปเริ่มต้นที่ Golden Gate จากนั้นก็เดินมาเรื่อยๆทั้งวัน เพราะจุดท่องเที่ยวในแต่ละจุดนั้นอยู่ไม่ไกลจากกัน ถ้าวางเส้นทางดีๆก็เดินทีเดียวยาวๆได้เลย




        การเที่ยววันหยุดก็ทำให้เห็นอะไรหลายๆอย่างที่ไม่มีในบ้านเราเยอะพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการออกมา Camping กับครอบครัว หรือการที่พ่อพาลูกๆมาหัดเล่นสเกต รวมไปถึงเด็กๆตั้งโต๊ะขายน้ำมะนาว โดยมีพ่อแม่ช่วยดูแล เพราะ Culture และสภาพอากาศที่นี่ต่างจากประเทศไทยด้วยแหละ




เริ่มงาน Android Dev Summit วันแรก

        วันนี้ต้องออกมาเช้าหน่อย เพราะไม่รู้ว่าจะถึงสถานที่กี่โมง โดยงานจะจัดขึ้นที่ Computer History Museum อยู่ใกล้กับ Googleplex เข้ามาอีกหน่อย โดยต้องเดินทางด้วย CalTrain ไปลงที่สถานี Mountain View แล้วจะมีพนักงานของ Google ชูป้ายอยู่เพื่อพาขึ้นรถรับส่งไปที่งาน



        มาถึงงานก็ต่อคิวลงทะเบียน โดยของที่ได้ก็จะมี เสื้อยืด, Flashdrive 8GB ที่ข้างในใส่ข้อมูลจากในงานไว้แล้ว, ถุงผ้า, บัตรเข้างาน และสติ๊กเกอร์แปะหลังเครื่อง Macbook ขนาด 13 นิ้ว



        เมื่อเข้ามาแล้วก็ใกล้จะเริ่ม Keynote พอดีเป๊ะ ซึ่งสิ่งที่ฮือฮาสุดๆก็คงจะเป็น Android Studio 2.0 กับ Emulator ตัวใหม่ที่ดีขึ้นและไวขึ้น ซึ่งทุก Session ภายในงานนั้นสามารถดูถ่ายทอดสดและย้อนหลังผ่าน YouTube ได้ ดังนั้นเจ้าของบล็อกจึงไม่ขอพูดเกี่ยวกับ Session มากนักนะครับ






        มีพื้นที่สำหรับ Codelabs ให้ด้วย แต่ก็เป็นอันเดียวกับตอนงาน Google I/O 2015 นั่นแหละ


        สำหรับมื้อเที่ยงและมื้อเย็นก็จัดที่นั่นเลย และภายในงานจะมีจัด Session 2 ห้องพร้อมๆกันเลือกได้ว่าจะเข้าห้องไหน




        แต่ว่าช่วงเย็นที่จะเป็นช่วง Party ที่จะให้นักพัฒนามา Networking ด้วยกัน กลับมีเหลือเพียงไม่กี่คน ซึ่งต่างจากตอน GDE Summit มาก




วันที่สองของงาน Android Dev Summit

        ตื่นสายพอสมควร ซึ่งเจ้าของบล็อกก็ดู Live ผ่าน YouTube เอา เพราะถ้าเดินทางไปที่งานก็จะไม่ทันดู Session ของ What's new in Android Studio (จัดกิจกรรมแจกของในเพจตอนนั้นพอดีด้วย) ดู Session ถัดไปจนถึงบ่ายก็ออกไปทำธุระในเมืองแทน ส่วนพี่เนยก็กลับวันนี้พอดี

        สรุปก็คือโดดงานไปเที่ยวนั่นแหละ ฮาๆ


        แต่ที่ตกใจสำหรับวันนั้นก็คือพี่ที่เจ้าของบล็อกไปพักอยู่ด้วย ได้สั่ง OnePlus X มา ก็เลยขอถ่ายรูปทำ Unboxing แบบไม่ทันตั้งตัว



บินกลับ

        ไม่มีอะไรมากนอกจากต้องมานั่งยัดของที่จะหิ้วกลับใส่กระเป๋าให้หมดให้ได้ ซึ่งจริงๆก็ไม่มีปัญหาเพราะว่าหิ้วกระเป๋าใบใหญ่อีกใบมาเพื่อยัดของกลับโดยเฉพาะ แต่ที่ลุ้นระทึกของวันนี้ก็คือ Moto X Pure Edition ที่เจ้าของบล็อกสั่งตั้งแต่ก่อนจะเดินทางมาที่นี่ เพราะว่าติดปัญหาตอนสั่งผ่านเว็ปจนทำให้ของส่งมาช้า (ตอนนั้นกำหนดคือวันที่ 2 ของงาน Android Dev Summit) แต่เกิดปัญหาไม่ผ่าน ตม. ของอเมริกาจึงทำให้ล่าช้าไป 1 วัน ซึ่งก็คือวันนี้ที่เจ้าของบล็อกจะบินกลับนั่นเอง แต่ของก็มาส่งตรงเวลาเป๊ะๆก่อนจะเดินทางกลับ (นึกว่าจะต้องส่งกลับมาทีหลังซะแล้ว)


        ของหิ้วกลับส่วนใหญ่นั้นจะสั่งผ่านออนไลน์ตั้งแต่ก่อนจะเดินทางมาที่นี่แล้ว พอมาถึงของก็จะมาส่งถึงที่พักพอดี โดยที่เราไม่ต้องเดินไปหาซื้อ และถ้าให้คนที่ฝากกดสั่งเอง ก็ไม่ต้องมานั่งเคลียร์เรื่องเงินด้วยล่ะ

        กระเป๋าใบซ้ายมือคือเสื้อผ้า (และของฝากนิดหน่อย) ส่วนใบขวามือคือของหิ้วกลับล้วนๆ




        ก็ต้องขอบคุณพี่แบรดจาก AdsOptimal ที่เอื้อเฝื้อสถานที่พักให้ ซึ่งถ้าผู้ที่หลงเข้ามาอ่านคนไหนมีโอกาสได้แวะไปที่นั่นแต่ยังไม่มีที่พักก็สามารถพักที่นี่ได้นะครับ ดูรายละเอียดได้ใน AirBNB เลย https://www.airbnb.com/rooms/5998830



มองเห็นอะไรบ้าง?

        ถึงแม้ที่เล่ามานั้นดูเหมือนจะมีแต่น้ำล้วนๆ ไม่มีเนื้อเลย แต่สำหรับการไป San Francisco ครั้งนี้ก็ยังคงได้เห็นอะไรอีกหลายๆอย่างมากเช่นเคย ถึงแม้ว่าจะเคยไปแล้วตอน Google I/O ก็ตาม เพียงแค่ไม่รู้ว่าจะเล่าออกมาในแต่ละวันยังไง ก็เลยขอสรุปแทนดีกว่า

        Networking & Connection
        มันไม่ยากหรอก กับการที่จะไปทำความรู้จักกับใครซักคน พูดคุยในบางเรื่องด้วยกัน แต่ก็นั่นแหละ ที่มันยากสำหรับใครหลายๆคน แต่สำหรับนักพัฒนาที่มากประสบการณ์แล้ว จะรู้ว่าการ Networking นี่แหละคืออีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญ นอกเหนือจากความสามารถในการทำงานเขียนโปรแกรม ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันและรู้จักกัน

        ภาษาอังกฤษ
        เราอาจจะมองว่าการพูดภาษาอังกฤษเป็นจะช่วยเพิ่มโอกาสในหน้าที่การงานได้ แต่สำหรับเจ้าของบล็อกพบว่าการที่คนทั่วโลกมารวมตัวกันที่งานแบบนี้ สะพานที่จะเชื่อมแต่ละคนเข้าด้วยกันนั้นคือภาษาอังกฤษ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่แค่เรื่องของโอกาสในหน้าที่การงานแล้ว แต่มันคือภาษาสากลที่จะทำให้เราได้รู้จักกับคนทั่วโลกได้ (เดี๋ยวโอกาสอย่างอื่นมันก็จะตามมาเอง)

        GDE ใน SEA มีน้อยมาก
        จากการพบปะ GDE ด้วยกัน และได้รู้จักกับ GDE ในละแวก SEA ก็พบว่ามีเพียงแค่ 9 คน (ถ้าจำไม่ผิด) อาจจะเพราะว่าพึ่งจะเริ่มต้นไม่นานมานี้เอง จึงมีน้อยกว่าละแวกอื่น ซึ่งตอนนี้ทาง Google ก็อยากจะให้มี GDE มากกว่านี้ ดังนั้นถ้าคุณเป็นคนที่มีประสบการณ์ (ไม่ต้องมากเวอร์) ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งของตำแหน่ง GDE (ไม่ได้มีแต่แอนดรอยด์นะ) และรักที่จะแชร์ความรู้เป็นชีวิตจิตใจ (ทำเป็นประจำอยู่แล้ว) ก็มาเป็น GDE ด้วยกันสิ

        เพราะที่นี่ไม่ได้คิดกันอย่างเดียว แต่ทำให้มันเป็นจริงด้วย
        ด้วย Culture และ Environment ของที่นี่ ที่ผู้คนไม่ได้แค่ว่า "มีไอเดีย" แต่ส่วนใหญ่นั้น "ทำไอเดียให้เป็นจริง" ด้วย ดังนั้นที่นี่จึงมีแต่ผู้คนมากมายที่พร้อมจะผลักดันความฝันให้เป็นจริง และไม่จำเป็นต้องเป็นไอเดียของตัวเองด้วย ซึ่งถ้าเทียบกับที่บ้านเราแล้วที่ใครๆก็มีไอเดีย มีความฝัน แต่น้อยคนนักที่จะทำให้มันเป็นจริง และคนที่จะทำให้ฝันคนอื่นเป็นจริงนั้นมีน้อยยิ่งกว่า (พูดแล้วก็เศร้า)

        Developer ก็ยังขาดแคลนอยู่ดีนะ
        ถึงแม้ว่าที่ San Francisco, Mountain View หรือ Silicon Valley นั้นจะเต็มไปด้วยนักพัฒนามากมายที่พร้อมจะทำไอเดียให้เป็นจริง แต่ก็ยังคงไม่เพียงพออยู่ดี แต่ที่นี่ก็พร้อมที่จะมอบ Culture และ Benefit ในการทำงานดีกว่าบ้านเราเสียอีก จึงถือว่าเป็นโอกาสดีๆสำหรับนักพัฒนาเลยล่ะ (แต่ Startup ในบ้านเราก็เริ่มเป็นแบบนี้กันเยอะแล้วนะ)

        Google ก็เป็นแค่ Google
        เดิมทีนั้น เจ้าของบล็อกเคยตั้งใจว่าจะไปที่ Google ให้ได้ซักครั้งในชีวิต แต่เอาเข้าจริงนี่ก็กลายเป็นครั้งที่ 2 ในชีวิตไปแล้วซะงั้น (ในปีเดียวกันด้วย) ซึ่งในครั้งนี้กลับรู้สึกว่า "Google ก็เป็นแค่บริษัทหนึ่งเท่านั้น" ไปซะแล้ว

        หลายๆคนอาจจะคิดว่าทำงาน Google, Facebook หรือ Twitter นี่มันต้องเจ๋ง เก่ง เทพ แต่พอได้มาที่นี่จริงๆและได้ไปรู้จักกับอีกหลายๆที่ก็พบว่ายังมีอีกหลายๆที่ที่น่าสนใจกว่ามาก เพราะที่นี่ Startup เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และก็พร้อมจะโตได้ตลอดเวลา

        คนเก่งๆก็ไม่จำเป็นต้องทำงานอยู่ในที่มีชื่อเสียงดังๆเสมอไป แต่สิ่งสำคัญคือการทำงานอยู่ในที่ที่ตัวเองชอบจริงๆ หรือ Culture ที่เหมาะกับตัวเองนั้นสำคัญกว่า จึงไม่แปลกใจที่ว่าทำไมบริษัทส่วนใหญ่เหล่านี้จึงเปิดที่จะให้คนนอกสามารถเข้ามาเยี่ยมชมได้ (มีคนในพาเข้า) ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะต้องการให้เห็นว่า Culture ของบริษัทเป็นยังไงนั่นเอง



รู้สึกว่าโลกมันกว้างใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจัง~